วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์ร่วงเทียบเยน จากกระแสคาดรัฐบาลญี่ปุ่นไม่แทรกแซงเงินเยน

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม 2553 07:51:17 น.

ค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าทางการญี่ปุ่นจะไม่เข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัด กั้นการแข็งค่าของเงินเยน ขณะที่ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหลังจากยูโรไม่สามารถไต่ขึ้นเหนือแนวต้านทางจิตวิทยา ได้

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง 0.13% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 85.420 เยน จากระดับของวันอังคาร (17 ส.ค.) ที่ 85.530 เยน และอ่อนลง 0.08% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0419 ฟรังค์ จากระดับ 1.0427 ฟรังค์

ค่าเงินยูโรดิ่งลง 0.16% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2858 ดอลลาร์ จากระดับของวันอังคารที่ 1.2879 ดอลลาร์ และเงินปอนด์ดีดขึ้น 0.07% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 1.5598 ดอลลาร์ จากระดับ 1.5587 ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.78% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.8978 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันอังคารที่ 0.9049 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.25% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7138 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7120 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินเยน เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ทางการญี่ปุ่นจะไม่เข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในแวดวงตลาดปริวรรตเงินตราของญี่ปุ่นคาดว่า นายนาโอโตะ คัง รมว.คลังญี่ปุ่น และนายมาซาอากิ ชิรากาวะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจประชุมร่วมกันในสัปดาห์หน้า เพื่อหาทางสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน หลังจากเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีในสัปดาห์ที่แล้ว

ส่วนค่าเงินยูโรร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนเทขายหลังจากยูโรไม่สามารถไต่ ขึ้นเหนือแนวต้านทางจิตวิทยาได้ โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ค่าเงินยูโรได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่ารัฐบาลสเปนประสบความสำเร็จในการประมูล ขายพันธบัตรอายุ 12 เดือน มูลค่า 4.34 พันล้านยูโร ด้วยอัตราผลตอบแทน 1.86% และยอดสั่งจองพันธบัตรมีจำนวนสูงกว่าพันธบัตรที่นำออกจำหน่ายถึง 2.47 เท่า รวมทั้งข่าวที่ว่า รัฐบาลไอร์แลนด์ได้นำพันธบัตรออกจำหน่ายมูลค่า 1.5 พันล้านยูโร ซึ่งพันธบัตรชุดนี้จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2557 และ 2563

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 2.551 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเข้าซื้อครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2552 และมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้เม็ดเงินไหลออกจากระบบการเงินของสหรัฐ โดยเฟดดำเนินการอย่างสอดคล้องกับที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในที่ประชุมเมื่อ วันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมาว่าจะนำรายได้จากตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) ไปซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาล ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญ จากเดิมที่คณะกรรมการเฟดวางแผนที่จะใช้ยุทธศาสตร์ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบค่อยเป็นค่อยไป

นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค กล่าวว่า เฟดพยายามรักษาระดับเงินทุนในพอร์ทฟอลิโอของเฟด หรือ System Open Market Account (SOMA) ให้อยู่ที่ระดับ 2.054 ล้านล้านดอลลาร์ ควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว และคาดว่าเฟดอาจจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีก 2.84 แสนล้านดอลลาร์ในปีหน้า หรือมากกว่าที่จีนและญี่ปุ่นเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐรวมกันในช่วงเวลาที่สิ้น สุด ณ เดือนพ.ค.ปีนี้

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนก.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรพุ่งเทียบดอลล์ ขานรับข่าวประมูลพันธบัตรสเปน-ไอร์แลนด์
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 18 สิงหาคม 2553 07:42:14 น.

ค่าเงินยูโร ดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (17 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสเปนและไอร์แลนด์ประสบความสำเร็จในการประมูล พันธบัตร ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและสกุลเงินอื่นๆ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.

ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.42% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2877 ดอลลาร์ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2823 ดอลลาร์ ส่วนเงินปอนด์ร่วงลง 0.57% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.5572 ดอลลาร์ จากระดับ 1.5662 ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้น 0.19% เมื่อเทียบกับเงินเยนระดับ 85.520 เยน จากระดับของวันจันทร์ที่ 85.360 เยน และดีดตัวขึ้น 0.42% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0434 ฟรังค์ จากระดับ 1.0390 ฟรังค์

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.78% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9050 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 0.8980 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.65% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7121 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7075 ดอลลาร์สหรัฐ

นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลไอร์แลนด์และสเปนประสบความสำเร็จในการประมูล พันธบัตร

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินยูโรถูกกดดันในระหว่างวัน หลังจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจยุโรป (ZEW) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเยอรมนีประจำเดือนส.ค. ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน เนื่องจากความกังวลที่ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนี ที่ต้องพึ่งพาการส่งเป็นหลัก

ค่าเงินดอลลาร์ดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและสกุลเงินอื่นๆ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ รวมถึงผลผลิตในโรงงาน เหมืองแร่ และผลผลิตด้านสาธารณูปโภค ขยายตัวขึ้น 1.0% ในเดือนก.ค. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาคการผลิตยังคงเป็นปัจจัยหลักในการหนุนเศรษฐกิจสหรัฐ ให้ฟื้นตัวขึ้น

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการสร้างบ้านใหม่เดือนก.ค.ขยายตัวขึ้น 1.7% สู่ระดับ 546,000 ยูนิตต่อปี โดยตัวเลขการสร้างบ้านในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ขยายตัวขึ้น 30.5% ขณะที่เขตมิดเวสต์ขยายตัวขึ้น 10.7% นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) เดือนก.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้

สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อ ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 3.1% ในเดือนก.ค. จากระดับ 3.2% ในเดือนมิ.ย. แต่ยังสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางอังกฤษ

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนก.ค.

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์สหรัฐแข็งค่า หลังยอดค้าปลีกเพิ่มน้อยกว่าคาด

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์สหรัฐแข็งค่า หลังยอดค้าปลีกเพิ่มน้อยกว่าคาด
ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2553 09:49:08 น.

เงินดอลลาร์ สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกำลังสะดุด ได้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าถือครองสกุลเงินดอลลาร์ที่มีความเสี่ยงน้อย กว่า

เงินยูโรอ่อนค่าลง 0.55% แตะ 1.2753 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.2823 ดอลลาร์ และอ่อนค่าลง 0.13% แตะ 110.05 เยน จากระดับ 110.19 เยน ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.11% แตะที่ 1.5584 ดอลลาร์ จากระดับ 1.5567 ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 0.43% แตะ 86.300 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 85.930 เยน และเพิ่มขึ้น 0.19% แตะ 1.0522 ฟรังค์สวิส จากระดับ 1.0502 ฟรังค์สวิส แต่ลดลง 0.15% แตะ 1.0405 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.0421 ในวันก่อน

ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่า 0.41% แตะที่ 0.8922 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 0.8959 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์อ่อนค่าลง 0.48% แตะที่ 0.7052 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7086 เมื่อวันก่อน

เมื่อวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. ปรับตัวขึ้น 0.4% หลังจากลดลงสองเดือนติดต่อกัน แต่ยังน้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ว่าจะดีดตัวขึ้น 0.5% ซึ่งการปรับตัวขึ้นของยอดค้าปลีกเมื่อเดือนที่แล้วนั้น เป็นผลมาจากยอดขายยานยนต์และน้ำมันที่สูงขึ้น ขณะที่ยอดขายสินค้าอื่นๆเกือบทุกประเภท ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ไปจนถึงวัสดุก่อสร้าง ยังซบเซา

ขณะที่ รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้นแตะ 69.6 จากระดับ 67.8 ในเดือนก.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 68.8 แต่ก็ยังต่ำกว่าตัวเลข 76.0 ในเดือนมิ.ย.

นักวิเคราะห์มองว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่ปรับตัวขึ้นนั้น ยังไม่มากพอที่จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิดิโอสอนการใช้ MetaTrader 4

วิดิโอสอนการใช้ MetaTrader 4

Present By ForexStrategySecrets

Part 1: Overview




Part 2: Changing Colors




Part 3: Opening a Demo Account




Part 4: Tips and Trick 1




Part 5: Tips and Trick 2




Part 6: Trailing Stop




Part 7: Templates




Part 8: Open and Close Trades




Part 9: Alerts




Part 10: Market Watch




Part 11: Navigator



Part 12: Terminal




Part 13: Indicator


สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก YouTube อีกเพียบครับ คลิกที่นี่

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Fxpro สุดยอดโบรกเกอร์ร้อนแรงมากที่สุด NOW...!



FxPro: a leading and award-winning online forex broker

* Best Global Trading Platform 2010 by World Finance Magazine
* Fastest Growing Global Forex Broker 2010 by World Finance Magazine
* Best Forex Broker, Europe 2009 by World Finance Magazine
* Best Forex Broker 2009 by European CEO Magazine





AvaFx สุดยอดความคุ้มค่า ลงทุน $100 แถมฟรี $50
ดูรายละเอียด คลิกที่นี่

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก 30 ก.ค.: ดอลล์ร่วงหลังจีดีพีสหรัฐโตน้อยกว่าคาด-IMF เตือนศก.สหรัฐเปราะบาง

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก 30 ก.ค.: ดอลล์ร่วงหลังจีดีพีสหรัฐโตน้อยกว่าคาด-IMF เตือนศก.สหรัฐเปราะบาง
ค่า เงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือนเมื่อเทียบกับสกุลเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (30 ก.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวน้อยกว่าคาด และหลังจากผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์แสดงความกังวลว่า สหรัฐอาจเผชิญกับภาวะเงินฝืดแบบเดียวกับญี่ปุ่น นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกกดดันหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนว่าระบบการเงินของสหรัฐอยู่ในภาวะที่เปราะบางมาก

ค่า เงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.39% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 86.420 เยน จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 86.760 เยน และอ่อนตัวลง 0.07% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0403 ฟรังค์ จากระดับ 1.0410 ฟรังค์

ค่า เงินยูโรอ่อนตัวลง 0.19% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 1.3052 ดอลลาร์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 1.3077 ดอลลาร์ และค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.61% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 1.5704 ดอลลาร์ จากระดับ 1.5609 ดอลลาร์

ค่า เงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.57% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 0.9054 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 0.9003 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 0.32% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 0.7259 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7236 ดอลลาร์สหรัฐ

นัก ลงทุนเทขายดอลลาร์สหรัฐหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 2.4% ต่อปี ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อทียบกับจีดีพีไตรมาสแรกที่ผ่านการทบครั้งใหม่ว่าขยายตัว 3.7% และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวในอัตรา 2.5% ต่อปี

ดอลลาร์ สหรัฐผันผวนมากขึ้นเมื่อไอเอ็มเอฟเตือนว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังต้องเผชิญกับความ เสี่ยงที่จะชะลอตัวลง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะถดถอยรุนแรงและลุกลามไปยังภาค ส่วนอื่นๆ หากสถานการณ์การเงินในต่างประเทศเข้าขั้นวิกฤต

นอก จากนี้ผลการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของธนาคารสหรัฐ ซึ่งจัดทำโดยไอเอ็มเอฟยังบ่งชี้ว่า ระบบการเงินของสหรัฐยังอยู่ในภาวะเปราะบาง และธนาคารพาณิชย์ที่มีสถานะการเงินอ่อนแอจนส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้น จำเป็นต้องระดมเงินทุนเพิ่มถึง 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์

นัก ลงทุนส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลต่อการแสดงความคิดเห็นของนายเจมส์ บุลลาร์ด ผู้ว่าการเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ที่ว่า สหรัฐอาจเผชิญกับภาวะเงินฝืดแบบเดียวกับญี่ปุ่นหากเศรษฐกิจอ่อนแอลง ซึ่งภาวะเงินฝืดจะลุกลามจนทำให้ราคาสินค้า มูลค่าที่อยู่อาศัย มูลค่าหุ้น และอัตราค่าแรงหดตัวลงด้วย ทั้งนี้ นายบุลลาร์ดแนะนำให้คณะกรรมการเฟดทบทวนโครงการซื้อพันธบัตรของรัฐบาลหาก เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญวิกฤตการณ์อันเนื่องมาจากภาวะเงินฝืด

มู ดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องประกาศใช้มาตรการที่ชัดเจนในการลดยอดขาดดุลงบประมาณ และเตือนว่า ตัวเลขหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ ที่ Aaa ของสหรัฐในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Daily Video Recap for 28 Jul: Upbeat Euro-Zone, UK Data Countered By Weak US Reports



เป็น trader ยากมั้ย?

มีคำกล่าวแบบติดตลกของ นักแสดงตลกชาวอเมริกันคนหนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว เขากล่าวว่า "I am not as concerned about the return on my money as I am about the return of my money" ซึ่งบ่งบอกให้เราทราบถึงธรรมชาติของมนุษย์ว่าส่วนใหญ่ไม่ชอบเสี่ยง (Most people are naturally risk averse) แต่ทว่าในใจก็ยังแอบอยากได้กำไรเยอะๆ จากการเก็งกำไร ไม่ว่าจะเป็นทองคำ, ที่ดิน,หุ้น, ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ แล้วก็ไปอิจฉาบรรดานักเก็งกำไรที่ได้กำไรเยอะๆ ซึ่งผมก็อยากจะบอกว่านักเก็งกำไรที่เขาประสบความสำเร็จได้เงินมากๆ เหล่านั้นก็เปรียบเสมือนเขาได้รับการ “ว่าจ้าง” มาให้รับความเสี่ยงต่างๆ จากผู้คนรอบข้างที่ไม่อยากเสี่ยงนี่แหละ ยังมี traders อีกมากมายที่ล้มเหลวและถอดใจหรือไม่ก็หายสาบสูญ (ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ) แต่เราไม่เคยได้ยินเพียงเพราะว่าผู้คนโดยทั่วไปมักจะชอบเล่าลือถึงเรื่อง ความสำเร็จเท่านั้น

มีหลุมพรางทางจิตวิทยา 6 อย่างที่ trader จะต้องเอาชนะก้าวข้ามไปให้ได้ ผมจะขอว่าไปทีละอย่างเลยนะครับ

1. อย่าพึ่งพาคนอื่นมากจนเกินความจำเป็น ท่องคติไทยที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนให้ขึ้นใจ จะมีผู้คนมากมายทั้งปรารถนาดี/ไม่ดี มาให้ข้อคิด คำแนะนำอย่างมากต่อท่าน เช่น brokers, เพื่อน, เซียน ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเขาเหล่านั้นเป็น Guru จริงๆ จริงอยู่อาจจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ข้อแนะนำในการรับความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้นขอให้จำกัดเพียงแค่การอำนวย ความสะดวกหรือข้อมูลข่าวสารของสิ่งที่ท่าน trade อยู่

2. เมื่อผิด อย่าโทษคนอื่น ขอให้โทษตัวเองไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร วินัยข้อนี้จำเป็น เพราะหากเราไม่ฝึกฝนให้รับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ขบวนการตัดสินใจจะไม่ยึดผลประโยชน์ของเราเป็นที่ตั้งได้

3. เน้นระยะยาว อย่าปรับวิธีการ trade โดยพิจารณาเพียงผลการ trade ระยะสั้น เพียงอย่างเดียว ทุกอย่างจะมีวันที่ดีและวันที่ไม่ดี ผลการ trade ในระยะสั้นอาจจะดูดี แต่ตามสถิติแล้ว มันมีปัจจัยทางด้านโชคมาเกี่ยวข้องมากกว่าระยะยาว ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย การเข้า/ออกในหุ้น หรืออัตราแลกเปลี่ยน แบบบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะลงเอยด้วยการขาดทุนหรือไม่ก็ได้กำไรไม่พอค่าใช้จ่าย อาทิเช่น Brokerage Fee หรือ bid/offer spread

4. อย่าประเมินความยากของการเอาชนะความรู้สึกแย่ๆ ต่ำเกินไป แผนการเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จเมื่อสัปดาห์ก่อนอาจจะเป็นแผนที่แย่มากใน สัปดาห์นี้ก็ได้ ซึ่งเราต้องเอาชนะความรู้สึกแย่ๆ เช่นนั้นให้ได้ และมุ่งมั่นต่อไป เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “นักรบย่อมมีบาดแผล” มั้ยครับ ตราบใดที่ยังเป็น trader อยู่ ขอให้มองการขาดทุนเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต (a part of the game) ไม่มีใครเอาชนะตลาดได้หรอกครับ แต่เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งของตลาดในส่วนที่สำเร็จได้

5. อย่าคึกมากเมื่ออยู่ขาขึ้น คนที่ได้เงินจากการเก็งกำไรมากๆ ติดต่อกัน จะรู้สึก “คึก” เป็นพิเศษ อยากจะเพิ่มขนาดของการเก็งกำไรให้มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดมาก ช่วงจังหวะที่ควรเพิ่มขนาดการ trade น่าจะอยู่หลังจากที่เราเสียอย่างต่อเนื่องมากกว่า

6. อย่าเหี่ยวลงเมื่ออยู่ขาลง ข้อนี้ตรงข้ามกับข้อ 5 ข้างบน มีคนเคยกล่าวไว้ว่า การเก็งกำไรเหมือนกับการเล่นกอล์ฟ นักกอล์ฟทุกคนไม่ว่าจะตีเก่งหรือไม่เก่ง ต้องมีช่วงตีที่ดีและไม่ดี เมื่อตีดีก็ดีใจว่าได้ “วง” ที่วิเศษหาอยู่นานมาไว้กับตัว เมื่อตีแย่ก็จะรู้สึกว่าจะต้องออกจากช่วงนี้ได้อย่างไร

trader ก็เหมือนกัน ตอนได้ตังค์ก็ฮึกเหิมว่าเราเก่ง ทำเงินได้มากและอยาก trade มากขึ้น ตอนขาดทุนก็อยากจะเลิก trade ไปเลย สิ่งที่อยากจะแนะนำก็คือให้ยึดมั่นทางสายกลาง ความพอดี ดูเหมือนพูดง่ายแต่ทำยาก แต่เมื่อลองทำดู ถึงแม้ว่า control ไม่ได้ทั้งหมด จะพบว่าเราสามารถจะทำให้ trading นั้นมีความยั่งยืน (sustainable) ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสองขั้ว แบบสุดๆ เสมอไป

ขอให้จดจำไว้และฝึกปฏิบัติจะเห็นผลในทางที่ดี อีกนิดหนึ่งแถมท้าย trader ที่ดี นอกจาก 6 ข้อข้างบนแล้ว จะต้องเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้, สมดุล และควบคุมสภาวะจิตใจของตัวเองให้ได้ (อีกแล้ว!พูดเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก) ไม่ว่าคุณจะ trade อะไร ทองคำ, น้ำมัน, FX, ดอกเบี้ย คุณจะประสบความสำเร็จครับ ขอให้โชคดี

โดย.เสถียร ตันธนะสฤษดิ์

Currency Trader: Don Schellenberg #1

บัญญัติ 10 ประการ "อยากรวย ต้องรู้

บัญญัติ 10 ประการ "อยากรวย ต้องรู้"

1."ความรู้ทางการเงิน" สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า "ความรู้ทางการงาน" เพราะในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่จะสามารถหา "รายได้จากการทำงาน" (you at work) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้องรู้วิธีที่จะ "ใช้เงินให้ทำงาน" (money at work)
2. การออมเป็น "เกมแห่งระยะเวลา" (game of time) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่งทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น "เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน
3. การลงทุนเป็น "เกมแห่งจังหวะเวลา" (game of timing) ต้อง รู้จังหวะในการเข้าออกจากตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนยากขึ้นเรื่อยๆ (losses are harder to regain)
4.การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆ แล้วการลงทุนเป็นกระบวนการ (process) ที่ต้องมีการเอาใจใส่ ติดตามผล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา
5.หนทางไปสู่ความสำเร็จไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว จุดสำคัญในการบริหารการลงทุนนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ วิธีการ หรือสไตล์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเพียง "เกมภายนอก" (outer game) แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ วิธีคิด พลังใจ ซึ่งเป็น "เกมภายใน" (inner game)
6.การ "เอาชนะดัชนี" (beat the index) ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่มีใคร "เอาชนะตลาด" (beat the market) ได้ เคล็ด (ไม่) ลับในการจะยืนหยัดอยู่ในเกมการลงทุนอย่างตลอดรอดฝั่งในฐานะ "ผู้ชนะ" นั้น อยู่ที่การยืนอยู่ข้างเดียวกับตลาดไม่ใช่ฝืนตลาด
7.ความสำเร็จในการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน จริงๆ แล้วมันอาจเปรียบได้กับการวิ่งแข่งระยะไกล (marathon) ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตร (sprint) ดังนั้น คุณจะต้อง "รู้จักตัวเอง" (know yourself) ว่าอะไรคือสไตล์การลงทุนที่เหมาะสม ที่เข้ากันได้กับความสามารถในการรับความเสี่ยง (risk attitude) และทักษะในการลงทุน (risk aptitude) เพราะนั่นคือ "ระบบ" ที่คุณต้องใช้ในเพื่อ "ทำธุรกิจ" นี้ในระยะยาว
8.ในการใช้เงินต่อเงินนั้น คุณต้อง "รู้จักเครื่องมือ" (know the vehicle) ว่ามีลักษณะและรูปแบบการให้ผลตอบแทนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดอะไรบ้าง
9.นอกจากนี้ คุณต้อง "รู้จักตลาด" (know the market) คือ รู้ว่าตลาดการเงินมีธรรมชาติเป็นอย่างไร อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมขึ้นลงของตลาด และต้องรู้วิธีการในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนว่าต้องแก้ไขปัญหาที่เกิด ขึ้นอย่างไร
10.อย่าติดอยู่ในกับดักของ "การบริโภคข้อมูลเกินขนาด" (information overload) ซึ่งมัวแต่สนใจหาข้อมูล ศึกษา วิเคราะห์ จนไม่กล้าลงมือปฏิบัติ (analysis paralysis) เพราะมีความเชื่ออย่างผิดๆ แบบพวกมองโลกสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ว่าถ้ามีข้อมูลที่สมบูรณ์จะไม่เกิดความผิดพลาด (zero-defect mentality) จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารการลงทุนนั้นอยู่ที่การ "จำกัดความเสี่ยง" (risk limitation) ไม่ใช่ "กำจัดความเสี่ยง" (risk elimination) ถ้าถามว่ากฎที่สำคัญที่สุดที่สรุปได้จากการปฏิบัติ (rule of thumb) ของผู้เขียนหนังสือชุด "อยากรวย ต้องรู้" คืออะไร ก็อยากตอบว่า rule of "ทำ" นั่นคือ "รู้แล้วต้องลงมือทำ"

ในภาษาอังกฤษ คำว่า "โชคลาภ" (luck) เป็นตัวย่อของ Laboring Under Correct Knowledge แปลว่า "ลงมือทำ ด้วยความพากเพียร โดยอาศัยความรู้ที่ถูกต้อง" นั่นเอง

กฏ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วยการวิเคราะห์ ทางเทคนิค

กฏทั้ง 10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป้นรุปแบบได้ ซึ่งให้กฏเหล่านี้ จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม หาจุดกลับตัว ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย ( moving average) มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หาคุณสามารถเข้าใจและปฏิตามหลักการเหล่านี้ เชื่อว่าคุณก็จะสามารถเอาตัวรอดด้วยการลงทุนแบบวิเคราะหฺทางเทคนิคได้แน่นอน

1. ดูแนวโน้ม ( Trend )
เรียน รู้ Chart กราฟ ในระยะยาว โดยเริ่มจาก กราฟ ในระดับเดือน Monthly และ สัปดาห์ ( weekly) ของช่วงเวลา ( Time Frame) หลายๆปี การดูกราฟช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะสามารถทำให้มองเห็นแนวโน้มของตลาดในระยะยาว ได้อย่างแม่นตรงกว่าการมองกราฟในระยะสั้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว ก็ต้องกลับดูกราฟระยะสั้น ระดับวัน Daily ระดับ ชั่วโมง Hourly การดูแนวโน้มในระยะสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เิืกิดข้อผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้นคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศ ทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและระยะยาว ( Middle Term and Long Term )

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม ( Analysis and follow trend)
แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว(Long Term) ระะกลาง(Middle Term) และระยะสั้น(Short Term) สิ่งแรก คือ คุณต้องรู้ว่าคุณลงทุนเป็นระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ กราฟของช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยที่คุณไม่แน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับ แนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขั้น ( Up trend) และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง ( Down Trend) หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้กราฟในระดับวันและัสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนในระยะสั้น ให้ใช้กราฟระดับวันและชัวโมง อย่างไรก็ตามในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้กราฟของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3.การหาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อBuy/Long ก็คือจุด ที่ไกล้แนวรับมักจะเป็นจุดต่ำสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายSell/Short ก็คือ จุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสงสุดของกรอบราคาการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนที่แนวต้าน แนวต้านก็กลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลงอีกนัยนึง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่และเ่ช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4.รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหน จึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้นลงเป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะ มีการกลีบตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนของแนวโน้ม ของช่วงเวลาก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นลงของแนวโน้มปัจจุบันโดยใช้ อัตรส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขั้นหรือลง 50%ของแนวโฯ้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อนหน้านั้น และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนใจคือ อัตราส่วนของFibonacci 38.2% 61.8 % ดังนั้นเมื่อตลาดมีการพัดตัวในแนวโน้มขาขึ้นจะมีจุดซื้อคืนจุดแรก เมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5.ใช้เส้นแนวโน้ม TrendLine
เส้น แนวโน้ม TL เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่ต้องคำนึงมีเพียงของเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนกราฟ เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด / 06f ที่อยู่ไกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดที่อยู่ไกล้กัน ราคามักจะเคลื่อนที่เข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนที่กลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หาราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลีี่ยนแปลงแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนที่แตะที่เส้น สาม ครั้ง เป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้มและยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความ สำคัญมากขึ้น

6.ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average)
หมาย ถึงการ เคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย( Moving Average) ซึ่งจะบอกถึงราาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เ้ส้นค่าเฉลี่ยนี้จะแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใด และช่วยยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตามเส้่นค้่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำ ลังจะเปลียน รุปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น เพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กัน คือ period 5 , 10 , 20 , 34, 50 , 89 , 100 , 200 โดยทั่วไปแล้วจะจับคู่กันระหว่างเส้นแนวโน้มระยะสั้น และระยาว เส้นแนวโน้มระยะสั้นจะมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 และ เส้นแนวโน้มระยะยาวจะมากกว่า Period 50 สัญญาณการชื้อ ขาย เกิดขึ้นเมื่อ แนวโน้มระยะสั้นตัดกับแนวโน้มระยะยาว เช่น เส้นแนวโน้ม Period 5 ตัดกับ 50 เมื่อตัดกันแล้ว คุณก็ ซื้อ ด้วยเหตนี้ เส้นแนวโน้มค่าเฉลี่ยจึงเหมาะกับตลาดที่อยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หรือตลาด มีเทรน

7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators เป็นเครื่องมือที่ช่วงของขอบเขตอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เป็น เครื่องมือที่วัดการแกว่งของตลาด เหมาะ สำหรับตลาด ที่มีเทรนไม่แน่นอน เป็นดัชนีที่ช่วยบ่งชี้จุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะีี่ที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดมีการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดจุดกลับตัว Oscillator ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastic ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillator เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน70 จะแดงว่ามีการซื้อที่มีมากเกินไป ( Overbought)และต่ำกว่า 30 แสดงว่ามีการขายมากเกินไป ( Oversold) ค่า OB และ OS สำหรับ Stochastic คือ80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 และ 9 สำหรับRSI และ Stochastic ใช้ค่า( 8 3 3 ) ( 14 3 3 ) ( 17 4 8 ) และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความพึ่งพอใจของแต่ละบุคคล สัญญาณการกลับตัวที่เกิดขึ้นใน Oscillator จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการเล่นเกร็ง กำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณในระดับวัน สำหรับยืนยันสัญญาณในรายชั่วโมง

8.มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด(พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ oscillator ไว้ด้วยกัน สัญญาณที่จะซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่าา โดยทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่า 0 Zero line สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าเหนือ 0 Zero Line สัญญาณในระดับสัปดาห์ จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD Histogram ซึ่งมาลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่างMACD สองเ้ส้น สามารถส่งสัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Direction Index( ADX) เป็นดัชนี ที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่และเป็นตัวช่ยวัดว่าแนวโน้ม อยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขึ้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก คงรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเกร็งกำไรระยะสั้นคงรใช้ Oscillator ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกใข้เครื่องมือที่เหมาะ สมกับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยนยันแนวโน้ม
สัญญาณ ที่ให้ การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจากผู้ที่ เข้ามาซื้อขายใหม่(Open Interest) ทั้ง สอง ตัวนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่างหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขาย อย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจบัน ในแนวโน้มขาขั้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน Open Interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก Open Interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนัั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้น ราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรมีปริมาณซื้อและ Open Interest หนุนอยู่ด้วย


FxTradingWorldWide

กุญแจที่สำคัญที่สุดของนักเล่นหุ้น Forex ที่ประสบความสำเร็จ



หลังจากดูคลิปวิดีโอนี้เสร็จ อยากบอกว่า ยินดีต้อนรับนักลงทุน นักเล่นหุ้น Forex ที่ประสบความสำเร็จในอนาคต คุณมั่นใจได้เลยว่าคุณต้องเป็น 10 ใน 100 คนที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นแน่นอน

และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ขอบคุณที่มาของข้อมูล ====> http://mangmaoclub.com

ForexTrading กับแนวคิดการเล่นหุ้นในตลาด Forex ด้วยระบบ....ห้ามพลาด



แนวคิดการเล่นหุ้นด้วยระบบ

หลัง จากเปิ้ลดูวีดีโอชุดนี้จบแล้ว ทำให้เข้าใจตลาด Forex ขึ้นมากทีเดียว และไม่อยากให้เพื่อน ๆ ที่มีโอกาสมาเยี่ยมเว็บแล้วพลาดวีดีโอชุดนี้เลยค่ะ ยิ่งนักเทรดหน้าใหม่ที่ กำลังหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเริ่มต้นธุรกิจนี้อยู่ ยิ่งไม่ควรพลาด และเมื่อดูจบแล้ว หวังว่าเพื่อน ๆ คงได้เป็นคนกลุ่ม 1 ใน 10 คนของนักเทรด Forex ที่ประสบความสำเร็จนะคะ ส่วนตอนนี้ใครที่ยังอยู่กลุ่ม 9 ใน 10 คนไม่ต้องเสียใจค่ะ เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เปิ้ลก็กำลังพยายามอยู่ค่ะ

10 คำถามของคนอยากรวย...... เมื่ออ่านจบแล้ว คุณคิดว่า คุณตอบคำถามตัวเองได้หรือยัง


เมื่อ คืนผมออกไปสังสรรค์ กับรุ่นน้องคนนึง มีการพบปะพูดคุยเรื่องต่างๆมากมาย ทั้งมีสาระและไม่มีสาระ แต่ที่เอามาเขียน Post นี้มีสาระนะครับ เผื่อว่ามันจะเป้นประโยชน์ต่อผู้ อ่านนะครับ จากที่ผมได้คุยกับรุ่นน้องคนนี้ มีคำถามนึงที่ผมชอบในคำถามของเขา “พี่ครับ ทำอย่างไร ผมถึงจะรวย” ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนนะครับ ว่าตัวผมเองก็ ไม่ได้รวยอะไร แค่มีกินมีใช้ไม่ขัดสน และมีเงินลงทุนบ้างแต่มีจำนวนจำกัดเท่านั้นเอง ตัวผมเองใคร่ควรในคำถาม นับว่าเป็นคำถามที่ดีทีเดียว ผมก็เลยตอบเขาไปว่า เป็นคำถามที่ดี และถามได้ถูกต้องมาก พี่จะเปรียบเทียมคำถามให้ฟัง

ทำอย่างไร ผมถึงจะรวย :การ ที่ถามแบบนี้แสดงว่าเราอยากรวยจริงๆโดยต้องเกิดจากการกระทำ นั่นคือทำอย่างไรถึงจะรวย จะต้องทำอะไร เพื่อให้เกิดการมีรายรับมากๆขึ้น อย่างนี้ซิ มีโอกาสรวยแน่นอน
เมื่อไหร่ผมจะรวย:การ ถามแบบนี้ก็แสดงว่าต้องการจะรวย แต่ไม่ต้องการทำอะไรทั้งสิ้น นั่งรอความรวย ถูกล็อตเตอรี่ หรือถูกรางวัล ช่างเพ้อฝัน แล้วก็ ฝันไปเถอะว่าจะรวย

ผมก็เลยเปรียบเทียบความคิดให้เขาฟังซื่งผมก็อ่านมาอีกที แต่บังเอิญว่าอ่านก่อนเลยสอนน้องเขาได้ ยังไงลองอ่านดูนะ ครับ

rich


สิบข้อ ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง

ข้อหนึ่ง เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็น เวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มี แนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่ มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อสี่ คน รวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถ สร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความ ผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้ม ค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำ ไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อย กว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อย บอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนใน ทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็น หลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน โดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้อง เสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขา จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

และสุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?

www.Stats.in.th

About Forex Market

Forex is the market where one currency is traded for another. It is one of the largest markets in the world. Average daily international foreign exchange trading volume was $4.6 trillion in August 2008 according to the BIS study.In the past, only the bigwigs in the business arena, central banks, and the larger banks in a country are the ones dominating the forex market. Forex trading also offers much greater leverage than stocks and futures. Furthermore, the account minimums are a lot lower to trade FX. Add to this the ability a trader has to choose flexible trading hours, and it is no surprise why so many traders have left the stock and futures market to day trade currencies.



FxTradingworldwide is made for investors. Today, everybody has to struggle for an easier life, the managers started paying even less, the prices are going up. FxTradingworldwide is here for all kinds of investors, for those who can’t afford a proper living and for those who have funds, but want to increase them. We offer solutions for a big number of investors and our system is so easy to use, that even a kid could get rich! The prosperity that we are taking benefit of is now slowly, but at a steady peace going into your personal lives. This trading system, where you don’t have to put in big money to see profits; this trading system, where you can sleep, have fun and the money are being multiplied as easily as 1, 2, 3!

Some of you may ask – why sharing such an incredible getting-rich secret? Why don’t we keep it for ourselves and earn millions and maybe hundreds of millions? As ridiculous as it may sound, but we will say it – we want to help. Sounds bizarre for the Forex market, but not for the human being. Actually, you don’t a huge pile of money to be happy and being greedy is a sin, as we all know. We don’t want to be greedy, but prosperous and we are not making public “how exactly” we make money. Some experienced investors amongst you may say – never give your money to strangers for them to manage it. But, when you go into a bank and you deposit money, does someone tell you how exactly they will generate that lousy annually interest? Do you get to see the people who trade your money? The hyper-technologic world we live in today doesn’t allow us to treat all human relations that there are properly. The phone, internet have become tools to ease our communication and in some case, even to replace it. So, we may be “strangers” for the start, but when you’ll see that we have a perfectly clean policy of making money, our acquaintance will be a daily routine – logging into the account and seeing the “greens” added.

Our wise and our craftiness are the tools that we use to dissolve the risk that there may be. The Reserve Fund is an extension of this mix between the cold calculation and realistic expectation. You can observe our activity before hoping in with a deposit, if you are not too sure about our company. But keep in mind that each day you miss is one that could give you interest on your deposit! We are here for everybody from everywhere at anytime!
We can offer for a very long term:
• Daily profits that could reach your annually bank interest
• Safety as Wall Street’s safe-deposit boxes
• Password encrypting and 24/7/365 server up-time
• Full protection against hacker and spammers
• Support by phone, email, support ticket and postal mail
• Multiple deposit/withdraw options
• Little period of investment comparing to returns
• Non-stop smiling on our site!

All payments are made to your account Daily. Minimum Payout is 1$. Minimum spend is $1 and there is no maximum You may make an additional spend as many times as you like. All transactions are handled via Liberty Reserve If you don't have Liberty Reserve account, you need to get one at www.libertyreserve.com

Use our referral program and earn up to 5.00% of referral deposits!


FxTradingWorldWide



Boris Schlossberg Millionaire Traders